05 กุมภาพันธ์ 2568 เวลา 18:12 น. 187
ข่าวจาก Thai Headlines รายงานว่า เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน นายเกียงไค ได้เผยให้ทราบว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2025 น่าจะถูกจำกัดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความตึงเครียดทางการค้าและการแข็งค่าของเงินบาท ที่ส่งผลกระทบต่อภาคส่งออกอย่างมาก สหรัฐอเมริกาได้ประกาศขึ้นภาษี 10% สำหรับสินค้าจากจีน และเพิ่มภาษีนำเข้าที่ 25% สำหรับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดา ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชนทั้งสามแห่งคาดว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2025 จะอยู่ในช่วง 2.4% ถึง 2.9% ขณะที่การเติบโตของการส่งออกจะอยู่ในระดับ 1.5% ถึง 2.5% และอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ประมาณ 0.8% ถึง 1.2% หากจีนไม่สามารถส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐได้อย่างราบรื่น อาจจะเกิดการล้นตลาดในประเทศไทยและประเทศคู่ค้า ผลที่ตามมาคือการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตและการจ้างงาน โดยเฉพาะสินค้าอย่างเหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภาพ เสื้อผ้า แก้ว เครื่องสำอาง เป็นต้น
ในแง่ของการตอบสนองต่อสถานการณ์นี้ นอกจากการหารือระหว่างภาครัฐแล้ว นายเกียงไคยังได้เสนอให้ดำเนินการเชิงรุกเกี่ยวกับการค้าระหว่างประเทศ เช่น การลดระยะเวลาในการตรวจสอบการค้า การเสริมสร้างการจัดการสินค้านำเข้า และการเข้มงวดในกฎระเบียบของเขตการค้าเสรี เพื่อป้องกันการลักลอบนำเข้าสินค้าและวัสดุ โดยเขายังเสนอให้มีการส่งเสริมการใช้สินค้าในประเทศ เพิ่มสัดส่วนการจัดซื้อสินค้าที่ได้รับการรับรอง "ผลิตในประเทศไทย" (Made in Thailand - MIT) จากภาครัฐ รวมถึงการสร้างข้อกำหนดในการใช้สินค้าไทยในโครงการของรัฐบาล เช่น ในโครงการ “สร้างบ้านให้กับประชาชน” โดยต้องมีใช้สินค้าไทยอย่างน้อย 90% ของมูลค่าโครงการ
เกี่ยวกับมาตรการของรัฐบาลในการกำหนดให้บริษัทไฟฟ้าท้องถิ่นตัดการจ่ายไฟฟ้าไปยังห้าแห่งในเมียนมาร์ นายเกียงไคมองว่าผลกระทบของการตัดสินใจนี้ค่อนข้างจะน้อย เนื่องจากสถานการณ์ในเมียนมาร์ยังไม่เสถียร และความต้องการสินค้าของประชาชนในประเทศกลับเพิ่มขึ้น
ข้อมูลที่ได้ถูกนำเสนอจากการแปลโดย wan และแหล่งข่าวจาก ch7hd_news