31 มกราคม 2568 เวลา 11:24 น. 739
เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2566 นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อเผยแพร่ข่าวดีเกี่ยวกับการปล่อยตัวชาวไทยที่ถูกจับกุมในกาซา โดยกล่าวว่า “ฉันรู้สึกยินดีที่ได้รับการยืนยันจากเอกอัครราชทูตไทยประจำอิสราเอลว่า ชาวไทย 5 คนได้ถูกปล่อยตัวจากกาซา ซึ่งรัฐบาลไทยและประชาชนต่างตั้งตารอคอยช่วงเวลานี้” ข่าวดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่กระแสการเมืองในตะวันออกกลางมีความตึงเครียดเป็นพิเศษ การได้ข่าวดีเช่นนี้จึงทำให้ประชาชนรู้สึกปลาบปลื้มและมีความหวัง
นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ ได้แสดงความขอบคุณเป็นพิเศษต่อหลายประเทศที่มีส่วนช่วยเหลือในการปล่อยตัวชาวไทย รวมถึงกาตาร์ อียิปต์ อิหร่าน ตุรกี สหรัฐอเมริกาและองค์กรต่างๆ เช่น สภากาชาดสากล และยังชื่นชมอิสราเอลในด้านการดูแลและอำนวยความสะดวกในการกลับประเทศของชาวไทยทั้งห้า นอกจากนี้ เขายังได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยเร่งประสานงานกับรัฐบาลอิสราเอล เพื่อให้การกลับบ้านของชาวไทยเหล่านี้เป็นไปอย่างรวดเร็วและราบรื่น โดยรัฐมนตรีต่างประเทศของไทยจะเดินทางไปยังอิสราเอลเพื่อช่วยเหลือให้ชาวไทยกลับบ้านได้เร็วที่สุด
ผู้แทนของไทยประจำอิสราเอล นายทูตพรนภาพล ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ล่าสุดของผู้ถูกจับกุมชาวไทยทั้ง 5 คน โดยในวันที่ 30 มกราคม พวกเขาได้ถูกปล่อยโดยกลุ่มฮามาสและนำไปยังศูนย์การแพทย์ชามีร์ในอิสราเอลเพื่อรับการตรวจสุขภาพ ข้อมูลจากเจ้าหน้าที่อิสราเอลระบุว่ารัฐบาลไทยได้แสดงความขอบคุณต่อการสนับสนุนของทางการอิสราเอลในการนำผู้ถูกจับกลับบ้านและดูแลผู้ที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัว
ถัดมานายทูตพรนภาพล ยังได้เปิดเผยว่าชาวไทยที่ได้รับการปล่อยตัวได้ติดต่อกับครอบครัวในประเทศไทยแล้ว โดยบางคนได้กล่าวถึงช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากในระหว่างการถูกจับกุมซึ่งกินเวลานานถึง 481 วัน ทั้งนี้รัฐบาลไทยกำลังดำเนินการทำพาสปอร์ตใหม่ให้แก่พวกเขาเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการกลับสู่ประเทศไทย
ในอดีต ข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับกรณีการจับกุมชาวไทยในโซนกาซานั้นเกิดจากความตึงเครียดระหว่างกลุ่มฮามาสและอิสราเอล โดยมีการจับกุมพลเรือนจากหลายนานาประเทศ รวมถึงประเทศไทย นอกจากนี้ ชื่อของผู้ปล่อยตัวที่ถูกเปิดเผยมีดังนี้ Pongsak Thenna, Sathian Suwannakham, Watchara Sriaoun, Bannawat Seathao และ Surasak Lamnau ขณะที่ยังมีชาวไทยอีกคนหนึ่งชื่อ Pinta Nattapong ที่ยังถูกกักตัวอยู่ในมือของฮามาส
ข่าวนี้เป็นการย้ำเตือนถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องสิทธิมนุษยชนและการช่วยเหลือพลเรือน รวมถึงความจำเป็นในการค้นหาทางออกในสถานการณ์ความขัดแย้งที่มีความซับซ้อนและอ่อนไหวในภูมิภาคนี้
แหล่งข่าว: pptvhd36