25 มกราคม 2568 เวลา 23:58 น. 1002
เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน หลายคนอาจพบว่าความจำเริ่มเสื่อมถอยและมักจะลืมเรื่องราวเล็กน้อยอยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าปัญหานี้อาจเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นทั่วไป แต่หากมันส่งผลต่อการทำงานหรือกิจกรรมในชีวิตประจำวัน ควรให้ความสำคัญกับสัญญาณเหล่านี้ เนื่องจากโรคสมองเสื่อมหรือที่เรียกว่า "โรคสมองเสื่อม" (Dementia) นั้นเกี่ยวข้องกับความจำโดยตรง โดยเฉพาะอาการที่เรามักจะลืมสิ่งที่ต้องทำเพียงชั่วขณะ
จากการศึกษาของนักวิทยาศาสตร์ด้านประสาทวิทยาจากวิทยาลัย Trinity College Dublin เปิดเผยว่า การประเมินความจำของตนเองที่ไม่ดี (หรือที่เรียกว่า subjective memory problem) มีความสัมพันธ์กับปัจจัยเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม เช่น ความดันโลหิตสูงหรือความรู้สึกโดดเดี่ยว ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งกว่าการทดสอบความจำแบบวัตถุประสงค์ การค้นพบนี้ช่วยขยายความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงในสุขภาพสมองของผู้ใหญ่ และทำให้เหล่านักวิทยาศาสตร์สามารถยืนยันบทบาทของสุขภาพร่างกายที่มีต่อการเสื่อมของสมอง รวมถึงการดูแลหัวใจ การสูญเสียการได้ยินและการมองเห็น หรือระดับคอเลสเตอรอลที่สูง
จากการวิจัยพบว่าหากเราเริ่มต้นสร้างนิสัยการใช้ชีวิตที่ดีตั้งแต่อายุน้อย สามารถป้องกันโรคสมองเสื่อมได้ถึง 40% รวมถึงมีวิธีการต่างๆ ที่จะช่วยรักษาความจำและลดความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมได้ ดังนี้
1. กินไข่ในมื้อเช้าเพื่อเติมโปรตีน
การรับประทานโปรตีนในมื้อเช้า เช่น ไข่หรือชีส สามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งการศึกษาพบว่าระดับน้ำตาลที่สูงเกินไปและการบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นจะส่งผลให้เกิดการสะสมของแผ่นโปรตีนในสมอง ผู้ที่เป็นโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานมีโอกาสเป็นโรคสมองเสื่อมสูงกว่าคนทั่วไปถึง 3 เท่า
2. รับประทานอาหารกลางวันกับเพื่อนสัปดาห์ละครั้ง
เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นจะช่วยให้เรามีความสุขและพึงพอใจ ในทางกลับกัน ความรู้สึกโดดเดี่ยวสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อม จึงควรสร้างสรรค์ความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างสม่ำเสมอ
3. หลีกเลี่ยงการทะเลาะกับคู่ครองบ่อยๆ
ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างคู่รักมีผลกระทบอย่างมากต่อความสุขในชีวิต หากความสัมพันธ์ไม่ดีหรือมีความตึงเครียด จะส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตและอาจทำให้สมองเสื่อมเร็วกว่าที่ควร
4. เลี้ยงสุนัขหรือแมว
การเลี้ยงสัตว์ได้พิสูจน์แล้วว่าสามารถชะลอการเสื่อมของความสามารถในการรับรู้ โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่อาศัยอยู่ตามลำพัง เจ้าของสัตว์เลี้ยงมักทำกิจกรรมกลางแจ้งมากกว่า ซึ่งมีส่วนช่วยในความเชื่อมโยงทางสังคมและลดความรู้สึกโดดเดี่ยว
5. จัดการกับความเครียด
การจัดการกับความเครียดสามารถป้องกันการเสื่อมสภาพของสมองได้ โดยระดับอะดรีนาลีนที่สูงเกินไปจะทำให้สมองขาดน้ำตาลกลูโคส ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการนอนหลับ ความดันโลหิต และการทำงานสำคัญอื่นๆ ของสมอง
6. สวมถุงเท้านอน
การนอนหลับที่ดีเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยป้องกันสารพิษในสมอง การสวมถุงเท้าขณะนอนอาจช่วยให้รู้สึกอุ่นขึ้น ซึ่งช่วยลดความยากลำบากในการนอนหลับได้
7. ทำกิจกรรมที่ใช้ความคิด
การเล่นเกมที่ใช้สมอง เช่น ตัวต่อคำ หรือการศึกษาเรียนรู้ภาษาใหม่ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยในการรักษาความจดจำได้ดีขึ้น
8. ให้ความสนใจกับงานอดิเรก
การทำกิจกรรมที่สนุกสนานในช่วงเวลาว่าง เช่น การอ่านหนังสือหรือการทำงานฝีมือ ช่วยกระตุ้นสมองและให้เป้าหมายในการทำกิจกรรม
9. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
การออกกำลังกายเพียง 6 นาทีต่อวันสามารถเพิ่มระดับโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และการจำ ซึ่งยังช่วยต่อสู้กับอาการซึมเศร้าได้อีกด้วย
10. กำจัดข้าวของที่ไม่จำเป็นในบ้าน
การมีข้าวของมากเกินไปจะทำให้เกิดความวุ่นวายในสมอง การมีอาการคล้ายโรคซึมเศร้าหรือโรคเก็บของก็อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อมได้
นอกจากการสร้างนิสัยดังกล่าวแล้ว ศ.ดร.ชิวหมิงจาง จากโรงพยาบาลแห่งชาติไต้หวัน ยังแนะนำว่าควรควบคุมกลุ่มอาการเมตะบอริก ความเสี่ยงด้านหลอดเลือด นอกจากนี้ยังต้องระวังการบาดเจ็บที่ศีรษะและการติดเชื้ออย่างรุนแรง เพื่อชะลอการเสื่อมของสมอง