25 มกราคม 2568 เวลา 23:54 น. 764
เมื่อคนเรามีอายุเข้าสู่ช่วงกลางคน สภาพร่างกายเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงจากการเผาผลาญที่ช้าลง ทำให้ความสามารถในการดูดซึมสารอาหารลดลง ส่งผลให้ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงหรือที่เรียกว่า “whole foods” มากขึ้นจากเดิม โดยเฉพาะต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปอย่างมาก เนื่องจากอาจทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมาได้เป็นอย่างมาก ซึ่งจากการแนะนำในรายงานของ 《The Telegraph》 ได้มีการระบุว่าบุคคลในช่วงวัยกลางคนควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงถึง 5 ประเภทในแต่ละสัปดาห์
การเข้าใจเกี่ยวกับอาหารที่ควรรับประทานนั้น จำเป็นต้องตระหนักถึงปัญหาสุขภาพที่มักเกิดขึ้นในช่วงวัย 50 ปี โดยเฉพาะปัญหาที่พบได้ทั่วไปคือโรคอ้วน ซึ่งเกี่ยวโยงกับโรคเมตาบอลิซึมที่มีความรุนแรง เช่น โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคหัวใจ รวมถึงปัญหาที่เกิดจากการเสื่อมของกล้ามเนื้อ มวลกล้ามเนื้อลดลง ผนวกกับการเสื่อมสภาพตามวัยที่อาจเสี่ยงต่อโรคกระดูกพรุนและโรคข้ออักเสบ อันเป็นแนวโน้มที่ควรให้ความสำคัญเนื่องจากความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งในช่วงกลางคนมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น และยังรวมไปถึงปัญหาโรคอัลไซเมอร์ที่นับว่าเป็นภัยคุกคามสำคัญอีกด้วย
ในช่วงเวลานี้ ร่างกายของคุณไม่เหมาะที่จะบริโภคอาหารประเภทมีไขมันและเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะพลังงานที่ใช้ในชีวิตประจำวันลดลงอย่างชัดเจน เนื่องจากมวลกล้ามเนื้อลดน้อยถอยลง และไม่ควรรับประทานอาหารแปรรูปหรืออาหารขยะในปริมาณที่สูงเกินไป เนื่องจากการเผาผลาญของร่างกายไม่เหมือนกับช่วงที่ยังมีอายุน้อย การเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงอย่าง “whole foods” โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันดี โปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมัน เส้นใยอาหาร และไมโครนิวเทรียนต์ที่สำคัญซึ่งได้แก่ วิตามิน B, วิตามิน D และแคลเซียม จะช่วยป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการเสื่อมอายุได้
5 ประเภทอาหารประจำวันที่ตอบโจทย์ความต้องการทางโภชนาการของผู้สูงวัย:
1. ไข่
จุดประสงค์: ป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ
ไข่เป็นแหล่งที่มาของโปรตีนและไขมันดี รวมถึงวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย การรับประทานไข่จะช่วยป้องกันการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไข่แดงมีวิตามิน A, B12, ซีลีเนียม และโคลีนในปริมาณสูง
คุณหมอเชน หยุนทิง นักโภชนาการจากโรงพยาบาลเวินชิน(On-Win) แนะนำว่า ในสภาวะปกติ คนที่มีสุขภาพดีควรรับประทานไข่วันละ 2-3 ฟอง แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาไขมันในเลือดสูง หรือผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ควรจำกัดการบริโภคไข่ไว้ที่วันละ 1 ฟอง และใช้วิธีการปรุงอาหารที่ไม่ใช้น้ำมัน เช่น การนึ่งหรือการต้มที่ไม่ต้องใช้น้ำมันเพื่อป้องกันการดูดซึมไขมัน
ไข่หาจัดเตรียมเพื่อสุขภาพ
2. ปลา
จุดประสงค์: ช่วยชะลอการเสื่อมของความสามารถทางปัญญา
ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอน, ปลาแมคเคอเรล, ปลาเฮอริง และปลาแซนดิน ถือเป็นแหล่งที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3 (EPA และ DHA) ซึ่งมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ และยังช่วยรักษาความสามารถด้านการรับรู้ของสมอง ป้องกันโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง
ควรรับประทานปลาอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง ขนาดประมาณ 3-5 ชิ้นต่อมื้อ ประมาณ 30 กรัมต่อครั้ง
3. มะเขือเทศ
จุดประสงค์: ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากในผู้ชาย
การบริโภคอาหารที่อุดมไปด้วยไลโคปีน เช่น มะเขือเทศและพริกแดง แสดงให้เห็นว่าสามารถช่วยปกป้องต่อมลูกหมากได้ดี
เพื่อให้ได้รับไลโคปีนมากที่สุด ควรทำการปรุงสุก โดยการใส่น้ำมันและน้ำส้มสายชู เมื่อนำมาทำอาหารจะสามารถเพิ่มไลโคปีนมากขึ้นถึง 7 เท่าจากการทานแบบดิบ
4. ถั่วต่าง ๆ
จุดประสงค์: ช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจ
ถั่วเป็นแหล่งไฟเบอร์และโปรตีนที่ดี ช่วยให้สามารถลดปริมาณไขมันอิ่มตัวจากการรับประทานเนื้อสัตว์ได้ สามารถรับประทานสัปดาห์ละ 3 ครั้งต่อครั้งประมาณ 60 กรัม
โรคหลอดเลือดหัวใจถือเป็นภัยร้ายอันดับหนึ่งสำหรับผู้ชายวัย 50 ปีขึ้นไป และเมื่อผู้หญิงเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ความเสี่ยงก็จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นกัน การบริโภคไฟเบอร์อย่างเพียงพอมีบทบาทสำคัญในการป้องกันปัญหาสุขภาพหัวใจ ช่วยในการขจัดคอเลสเตอรอล ลดความดันโลหิต และลดโอกาสในการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่
5. ผักคะน้า (เช่น บรอกโคลี, กะหล่ำปี, บีบีชา และกะหล่ำปลี)
จุดประสงค์: เสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง
ผักคะน้าซึ่งรวมถึงบรอกโคลีและกะหล่ำปลี เป็นผักในกลุ่มคริสตัล ซึ่งมีวิตามิน A, C, K, เบต้าแคโรทีน, แคลเซียม, โพแทสเซียม, แมกนีเซียม, โฟเลต และไฟเบอร์ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระธรรมชาติที่ช่วยรักษาหัวใจ และบำรุงกระดูกตามธรรมชาติ
โดย วิตามิน K มีความสำคัญต่อกลุ่มคนวัยกลางคนอย่างยิ่ง เนื่องจากการขาดวิตามิน K อาจเชื่อมโยงกับโรคเรื้อรังหลายประเภท รวมถึงโรคกระดูกพรุน โรคหลอดเลือดและโรคข้อ
【ข้อมูลอ้างอิง】
.《The Telegraph》
.ฐานข้อมูลข่าวจากยูไนเต็ดนิวส์