ข่าวพิเศษ! ยุคสมัยใหม่ของไทย! "เพตงตัน" เปิดปากครั้งประวัติศาสตร์

23 มกราคม 2568 เวลา 20:53 น.    110

วันที่ 23 มกราคม 2025 ถือเป็นวันประวัติศาสตร์และมหกรรมของคนทั้งชาติในประเทศไทย หลังจากความพยายามที่ยาวนานกว่า 20 ปี พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานของไทยได้ประกาศใช้เป็นที่เรียบร้อย ทำให้กลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศสามารถขอรับใบทะเบียนสมรสได้อย่างถูกกฎหมาย นี่ไม่เพียงแค่เป็นก้าวสำคัญในเส้นทางประชาธิปไตยของไทย แต่ยังถือเป็นเหตุการณ์สำคัญที่สะท้อนถึงความก้าวหน้าทางสังคมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ประเทศไทยจึงกลายเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่ผ่านพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงาน ผลสัมฤทธิ์นี้ไม่เพียงแต่แสดงถึงการยอมรับในความเท่าเทียมและความหลากหลายภายในสังคมไทย แต่ยังตั้งเป็นแบบอย่างให้กับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาค การบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวถือเป็นการประกาศว่า "ความรักไม่มีขอบเขต" ได้กลายเป็นจริง และได้จบสิ้นการเลือกปฏิบัติและความไม่เป็นธรรมที่มีมาอย่างยาวนาน นี่คือวันที่ไม่เพียงแต่สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ แต่สำหรับคนไทยทุกคนที่สนับสนุนความเท่าเทียมและการยอมรับ

ในคำปราศรัยผ่านทางวิดีโอของนางหญิง พิทักษ์ตัน นายกรัฐมนตรีไทย กล่าวว่า การบังคับใช้กฎหมายนี้หมายความว่า สังคมไทยได้ยอมรับและเคารพในความรักทุกรูปแบบ เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิและเกียรติยศที่เท่าเทียมกัน เธอทบทวนถึงการต่อสู้ของกฎหมายความเท่าเทียมทางการแต่งงาน ซึ่งใช้เวลานานกว่า 20 ปี การเดินทางนี้ไม่ได้เป็นเพียงแค่การต่อสู้กับอคติทางเพศ แต่ยังเป็นการท้าทายความเชื่อทางสังคมที่ฝังรากลึก ปัจจุบันนี้ชัยชนะอันเป็นประวัติศาสตร์นี้ถือเป็นผลงานจากความพยายามร่วมกันของสังคม ทั้งนี้โดยเฉพาะจากการผลักดันของกลุ่ม LGBTQ+ ที่มุ่งมั่นทำให้ร่างกฎหมายนี้ได้รับการบังคับใช้

ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป กลุ่ม LGBTQ+ สามารถทำการจดทะเบียนสมรสได้ที่สำนักงานเขต 878 แห่งในประเทศไทย รวมถึงสำนักงานเขต 50 แห่งในกรุงกรุงเทพฯ และตามสถานกงสุลไทยในต่างประเทศ โดยต้องมีเอกสารที่จำเป็น เช่น บัตรประชาชนหรือสำเนาหนังสือเดินทาง, ข้อความยืนยันว่าเป็นโสด (สำหรับการแต่งงานกับชาวต่างชาติ), หลักฐานการหย่า (ถ้าผ่านการแต่งงานก่อนหน้า) และบัตรประชาชนของพยานสองคน

การขับเคลื่อนให้มีการบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานเริ่มต้นมาจากการเรียกร้องอย่างต่อเนื่องของกลุ่ม LGBTQ+ และผู้สนับสนุนที่ต้องการให้รัฐบาลใส่ใจในเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ พระราชบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ของไทยมีผลบังคับใช้โดยหลักแล้วสำหรับคู่รักเพศตรงข้าม ทำให้คู่รักที่มีความหลากหลายทางเพศ (เช่น คู่รักเพศเดียวกัน, คนสองเพศ, และผู้เปลี่ยนเพศ) ไม่สามารถลงทะเบียนเพื่อให้เป็นคู่สมรสได้อย่างถูกกฎหมาย ทำให้พวกเขาได้รับความไม่เท่าเทียมในทางกฎหมายในด้านการสืบทอดทรัพย์สิน การตัดสินใจทางการแพทย์ และผลประโยชน์ทางสังคม พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานทำให้ประเทศไทยสามารถจัดระเบียบระบบกฎหมายให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพื่อให้ทุกครอบครัวได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายที่เท่าเทียมและลดความไม่เป็นธรรมในสังคมลงได้

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยที่มีความหลากหลายและความยอมรับสูงสุด มีเป้าหมายที่จะผ่านกฎหมายนี้เพื่อส่งเสริมให้ทุกคนสามารถมีเสรีภาพในความรักที่เท่าเทียม รวมทั้งกำจัดการเลือกปฏิบัติต่อกลุ่มเพศที่น้อยกว่า ประเทศไทยเป็นที่รู้จักว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อ LGBTQ+ การผลักดันพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานจะช่วยยกระดับภาพลักษณ์ระหว่างประเทศของไทย ส่งเสริมให้เห็นถึงความสำคัญของสิทธิมนุษยชนและการยอมรับในสังคม นอกจากนี้ยังช่วยดึงดูดนักลงทุนและนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะหลังจากที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยขึ้นเป็นรัฐบาล เน้นความสำคัญในการผลักดันให้มีการรับรองพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงาน และมีเป้าหมายที่จะทำให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+

การบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานอาจนำไปสู่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจที่ดี โดยข้อมูลจาก LGBT Capital แสดงว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของกลุ่ม LGBTQ+ ในประเทศไทยสูงถึง 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ประมาณ 5.25 หมื่นล้านบาท) ทำให้ประเทศไทยติดอันดับที่หนึ่งในเอเชียและที่ห้าของโลก รองจากสหรัฐอเมริกา, ฝรั่งเศส, สหราชอาณาจักร และอิตาลี นอกจากนี้งานวิจัยจาก Agoda คาดว่า ภายในสองปีหลังจากพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานเริ่มบังคับใช้ ประเทศไทยจะดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ เพิ่มอีก 4 ล้านคนต่อปี ซึ่งจะนำมาซึ่งการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ โดยรายได้จากการท่องเที่ยวคาดว่า จะเพิ่มขึ้นประมาณ 2 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งรวมถึงรายได้จากที่พัก 7 พันล้านดอลลาร์, รายได้จากการรับประทานอาหาร 4 พันล้านดอลลาร์, รายการซื้อสินค้าที่ 4 พันล้านดอลลาร์, การขนส่งภายในประเทศ 2 พันล้านดอลลาร์ และบริการบันเทิงและการแพทย์อื่น ๆ 2 พันล้านดอลลาร์ ทั้งนี้ การบังคับใช้กฎหมายนี้ยังจะส่งเสริมการสร้างงานตามคาดว่าจะสร้างงานใหม่ประมาณ 152,000 ตำแหน่งในแต่ละปี โดย 76,000 ตำแหน่งจะมาจากภาคการท่องเที่ยวและอีก 76,000 ตำแหน่งจากภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าพระราชบัญญัตินี้จะช่วยดัน GDP ของประเทศไทยเพิ่มขึ้น 0.3%

ก่อนที่ประเทศไทยจะถึงจุดเปลี่ยนไปสู่ความสำเร็จในวันนี้ ได้ประสบกับการต่อสู้ที่ยาวนานกว่า 20 ปี แม้ว่าในหลายรัฐบาลจะมีความพยายามรณรงค์เกี่ยวกับพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงาน แต่ความก้าวหน้าเหล่านั้นกลับช้ามาก เวลาผ่านไป แต่อุปสรรคยังคงมีอยู่ในเส้นทางนี้

ในปี 2000 หลายประเทศในโลกเริ่มเรียกร้องสิทธิของกลุ่ม LGBTQ+ และประเทศไทยก็เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในนั้น โดยในปี 2001 รัฐบาลของนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรได้เสนอแนวคิดเรื่องความเท่าเทียมทางการแต่งงานอย่างเป็นครั้งแรก แต่ในขณะนั้นสังคมยังไม่พร้อมที่จะรับแนวคิดนี้

ในปี 2012 ภายใต้รัฐบาลอังกฤษ สิทธินา เวลาที่คู่รักเพศเดียวกันพยายามขอจดทะเบียนสมรส กล却พบว่าถูกปฏิเสธ นี่เป็นเหตุการณ์ที่จุดชนวนให้เกิดการร้องเรียนเป็นวงกว้าง และทำให้รัฐบาลต้องเริ่มร่างพระราชบัญญัติการเป็นคู่สมรสทางแพ่ง หลังจากนั้นในปี 2013 แม้พระราชบัญญัตินี้จะได้เกิดขึ้น แต่กลับไม่สามารถให้ความเท่าเทียมในสิทธิและผลประโยชน์ระหว่างคู่รักเพศตรงข้ามและคู่รักเพศเดียวกันได้ ในปี 2014 การรัฐประหารทำให้การดำเนินการเรื่องนี้หยุดชะงัก

เข้าสู่ปี 2020 การเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมทางการแต่งงานได้กลับมาอีกครั้ง ภายใต้รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา รัฐบาลได้เริ่มร่างพระราชบัญญัติการเป็นคู่สมรสทางแพ่งใหม่ ในขณะเดียวกัน พรรคก้าวไกลได้เสนอร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานที่ผ่านการพิจารณาในรอบแรกแล้ว แต่เกิดปัญหาในสภาหลายครั้ง จนไม่สามารถผ่านการพิจารณารอบที่สาม เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2022 การเสนอร่างพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานได้ผ่านการพิจารณาในรอบแรกอีกครั้ง แต่เนื่องจากเหตุการณ์ต่าง ๆ ทำให้ไม่สามารถทำการพิจารณาในรอบสุดท้ายได้

อย่างไรก็ตาม วันที่ 21 ธันวาคม 2023 ในที่สุดก็ถึงเวลาสำคัญที่รอคอยมานาน โดยพระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานได้รับการผ่านการพิจารณาในรอบแรกและเข้าสู่กระบวนการแก้ไขในรอบที่สอง โดยมีการส่งร่างพระราชบัญญัติจำนวนสี่ฉบับที่รวมถึงร่างพระราชบัญญัติจากคณะรัฐมนตรี ร่างของพรรคก้าวไกล ร่างจากภาคประชาชน และร่างจากประชาธิปัตย์

เพื่อการแก้ไขรายละเอียดกฎหมายเพิ่มเติม สภานิติบัญญัติได้ตั้งคณะกรรมการจำนวน 39 คน จนกระทั่งวันที่ 27 มีนาคม 2024 ทางสภาได้ผ่านการพิจารณาในรอบที่สองและรอบสุดท้าย โดยผลการลงคะแนนคือ 400 เสียงเห็นด้วย 10 เสียงไม่เห็นด้วย 2 เสียงงดออกเสียง และ 3 เสียงไม่ลงคะแนน ส่งผลให้ร่างกฎหมายดังกล่าวด้เข้าสู่สภาสูง ต่อมาวันที่ 18 มิถุนายน 2024 สภาสูงของไทยได้ลงคะแนนเห็นด้วยกับร่างพระราชบัญญัติด้วยคะแนน 130 เสียงเห็นด้วย 4 เสียงไม่เห็นด้วย และ 18 เสียงงดออกเสียง และได้ส่งให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา

ในวันที่ 24 กันยายน 2024 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานได้ถูกประกาศใช้ ซึ่งหมายความว่าคู่รักทุกคู่ไม่ว่าจะเป็นเพศใดก็สามารถแต่งงานได้อย่างถูกกฎหมาย โดยกฎหมายที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ที่อ้างอิงคำว่า "ฝ่ายชาย" และ "ฝ่ายหญิง" ได้ถูกปรับเปลี่ยนเป็น "ฝ่ายทำการจดทะเบียน" และ "ฝ่ายรับจดทะเบียน" ในการจดทะเบียนสมรส คำว่า "สามี-ภรรยา" ก็ถูกเปลี่ยนเป็นคำว่า "คู่สมรส"

วันที่ 23 มกราคม 2025 พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานได้เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ โดยประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่สามในเอเชียที่มีการบังคับใช้กฎหมายนี้และเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นก้าวที่สำคัญในการก้าวไปสู่สังคมที่ยอมรับความหลากหลายทางเพศและความเท่าเทียมทางสังคม เปิดประตูสู่ยุคใหม่ที่มีความเปิดกว้างและเท่าเทียม

การบังคับใช้พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงาน不仅仅เป็นการยกย่องในความหลากหลายและความเปิดกว้างของสังคมไทย แต่ยังช่วยเสริมสร้างศักดิ์ศรีและสิทธิเสรีภาพของมนุษย์ ในคำปราศรัยของนายหญิงพิทักษ์ตันได้เน้นย้ำว่า รัฐบาลยึดมั่นในหลักการที่ว่า ทุกคนควรได้รับการเคารพในความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านเพศ การตั้งครรภ์ เชื้อชาติ และศาสนา พระกดหมายนี้แสดงถึงความเคารพต่อความหลากหลายและความเท่าเทียมในสังคมไทย เพื่อให้ทุกรายได้รับสิทธิและเกียรติยศอย่างเท่าเทียมกัน

สำคัญที่สุดคือ พระราชบัญญัติความเท่าเทียมทางการแต่งงานนี้ไม่ได้เป็นเพียงความสำเร็จของกลุ่ม LGBTQ+ แต่ยังเป็นความสำเร็จร่วมกันของประชาชนชาวไทยในการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและความยุติธรรม ด้วยการประกาศใช้กฎหมายที่เป็นประวัติศาสตร์นี้ ประเทศไทยจึงแมชชีนว่าเป็นประเทศที่ก้าวหน้าเปิดกว้างในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความรับผิดชอบทางสังคม และจะยิ่งเสริมสร้างภาพลักษณ์ในฐานะจุดหมายที่เป็นมิตรต่อ LGBTQ+ บนเวทีระดับสากล