23 มกราคม 2568 เวลา 09:33 น. 190
ข่าวจากไทยเฮดไลน์ สำนักข่าวที่ให้บริการข้อมูลเศรษฐกิจและการเงิน ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 มกราคม เจมส์ เชียว หัวหน้าฝ่ายการลงทุนระดับโลกของธนาคาร HSBC ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และอินเดีย ได้ให้สัมภาษณ์ไว้ว่า เศรษฐกิจของประเทศในสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จำนวนหกประเทศนั้นมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ว่า อัตราการเติบโตของ GDP ในปี 2025 จะอยู่ที่ 4.8% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคที่ 4.4% สาเหตุหลักมาจากการใช้จ่ายภายในประเทศและการลงทุนที่ค่อนข้างสูงของแต่ละประเทศ
ตามข้อมูลทางสถิติอันน่าเชื่อถือ พบว่า การบริโภคส่วนบุคคลของประชาชนราว 60% เป็นส่วนประกอบสำคัญของ GDP ในอาเซียน ซึ่งในปี 2025 ที่คาดว่าจะมีความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลก จะช่วยลดความเสี่ยงจากการลดลงของการส่งออกได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ประเทศสมาชิกอาเซียนที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตที่เกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ยังมีโอกาสได้รับประโยชน์จากวัฏจักรการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วโลก ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจในภูมิภาคยังได้รับแรงหนุนจากการปรับโครงสร้างทางการค้าและห่วงโซ่อุปทานในช่วงที่มีมาตรการกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ และการจำกัดการค้ากับจีน
เจมส์ เชียว ยังได้ชี้ให้เห็นว่า ประเทศไทยเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่คาดว่าจะมีการเติบโตของเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นในปี 2025 โดยรัฐบาลมีนโยบายการเงินที่เข้มแข็งและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ 3.3% โดยรัฐบาลได้มีการเสริมสร้างการใช้จ่ายของประชาชนผ่านมาตรการการกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ตลาดแรงงานยังคงมีเสถียรภาพ นอกจากนี้ อุตสาหกรรมการส่งออกของประเทศกำลังฟื้นตัว ทำให้ผู้ส่งออกสามารถเร่งรัดการขนส่งสินค้าเพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงด้านภาษีได้มากขึ้น รวมทั้งการพัฒนาที่ดีในด้านการท่องเที่ยวก็ยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกแรงหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ในมุมมองด้านความเสี่ยงและผลตอบแทนของการลงทุนในเอเชีย ธนาคาร HSBC ได้ลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เนื่องจากมีโอกาสลงทุนที่น่าสนใจมากกว่าในตลาดเอเชียอื่น ๆ สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน คาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างดอลลาร์สหรัฐและเงินบาทจะมีความผันผวนขึ้นลง โดยคาดการณ์ว่าจะถึงระดับ 36.0 บาทต่อดอลลาร์เมื่อถึงสิ้นปี 2025 แม้ว่าในปี 2025 ธนาคารกลางของไทยมองว่าคงอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 2.25% เพื่อสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจและรักษาเสถียรภาพทางการเงิน แต่เนื่องจากระดับหนี้ครัวเรือนที่สูง ธนาคารกลางอาจไม่สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้อีกต่อไป ทำให้การใช้มาตรการทางการเงินกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เพื่อให้เข้าถึงโอกาสในการเติบโตและผลตอบแทนในปี 2025 ธนาคาร HSBC จึงได้เสนอแนวคิดในการลงทุนในเอเชียที่มุ่งเน้นไปที่สี่ประเด็นหลัก ได้แก่
1. บริษัทชั้นนำในตลาดท้องถิ่น
ธนาคาร HSBC ให้ความสำคัญกับบริษัทที่ขึ้นอยู่กับการบริโภคในประเทศและมีความพึ่งพาตลาดสหรัฐน้อย บริษัทเหล่านี้ในจีน จีนฮ่องกง และญี่ปุ่น ได้แสดงศักยภาพในการเติบโตที่แข็งแกร่งผ่านการแข่งขันที่มีตำแหน่งที่ดีในตลาดและอัตราการเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น การพัฒนาของสภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่นและการเติบโตของรายได้ที่ดีล้วนส่งผลดีต่อการเติบโตของบริษัทที่มุ่งเน้นการขายในประเทศ ซึ่งสามารถทำให้การลงทุนเหล่านี้ปลอดภัยกว่าการที่บริษัทเหล่านั้นพึ่งพาการส่งออกมากเกินไป
2. การเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นของบริษัทในเอเชีย
ธนาคาร HSBC ให้ความสนใจในบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงหรือการซื้อหุ้นคืนเพื่อเพิ่มผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้น คาดว่าในปี 2025 ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในเอเชีย (ไม่นับรวมญี่ปุ่น) จะสูงขึ้นถึง 12% ขณะเดียวกันกิจกรรมการซื้อหุ้นคืนในญี่ปุ่น จีน และฮ่องกงจะสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากการจ่ายเงินปันผลของบริษัทในเอเชียอาจสูงถึง 7% ขณะที่ญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่จะอยู่ที่ 9% การปรับปรุงการบริหารจัดการภายในบริษัททำให้คาดว่าผลตอบแทนเงินปันผลในสิงคโปร์และอินโดนีเซียจะสูงถึง 4.2% ขณะที่ฮ่องกงและมาเลเซียจะอยู่ที่ 3.9% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่เพียง 1.8%
3. การเติบโตของอินเดียและภูมิภาคอาเซียน
เนื่องจากการบริโภคในประเทศ การเติบโตของประชากรชั้นกลาง และความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยี อินเดียและอาเซียนจึงมีโอกาสลงทุนที่หลากหลาย ธนาคาร HSBC มองว่าบริษัทที่พึ่งพาตลาดในประเทศสามารถหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่เกิดจากการกีดกันทางการค้าในสหรัฐได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นอินเดียที่มีการปรับราคาในช่วงที่ผ่านมา ได้เปิดโอกาสดีสำหรับนักลงทุน โดยคาดว่าในปี 2025 ผลกำไรของบริษัทในอินเดียจะเติบโตถึง 16% ขณะที่ผลตอบแทนจากทุนที่สูงและเงินลงทุนในประเทศที่เพิ่มขึ้นสะท้อนถึงความสามารถในการฟื้นตัว นอกจากนี้ สำหรับภูมิภาคอาเซียน ธนาคาร HSBC มุ่งเน้นที่ตลาดหุ้นสิงคโปร์ ซึ่งมีการขาดดุลการค้ากับสหรัฐฯ น้อย ทำให้หุ้นสิงคโปร์เป็นทางเลือกที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงด้านภาษีอีกด้วย นอกจากนี้ หุ้นจากสิงคโปร์นั้นยังมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าดึงดูด
4. พันธบัตรคุณภาพสูงในเอเชีย
หากธนาคารกลางสหรัฐฯ มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2025 จะเป็นการเปิดโอกาสให้ธนาคารกลางในเอเชียทำการลดอัตราดอกเบี้ยเช่นกัน ซึ่งเป็นผลดีต่อพันธบัตรคุณภาพสูง ธนาคาร HSBC ให้ความสนใจในพันธบัตรสกุลเงินดอลลาร์ที่ออกโดยประเทศในเอเชีย รวมถึงพันธบัตรของสถาบันการเงินในภูมิภาค พันธบัตรสกุลเงินท้องถิ่นจากอินเดียและอินโดนีเซีย รวมถึงพันธบัตรจากอุตสาหกรรมคาสิโนในมาเก๊าและการสื่อสารดิจิทัลในจีน
(แหล่งที่มา: today)