19 มกราคม 2568 เวลา 15:56 น. 887
สำนักงานข่าวไทยเฮดไลน์รายงานว่า เมื่อวันที่ 19 มกราคม ที่ผ่านมา โฆษกสำนักงานนายกรัฐมนตรีของไทย นายจิรา ยุติการนำเสนอว่า นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเดินทางไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อเข้าร่วมการประชุมประจำปีของฟอรัมเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum Annual Meeting 2025: WEF AM25) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20 ถึง 25 มกราคมนี้ โดยจะมีคณะผู้แทนจากไทยร่วมเดินทางในครั้งนี้ รวมถึงรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายพิเชฐ ดุรงค์เดช, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายปกรณ์, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นางมัลลิกา, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายนฤมล, รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ นายพิชัย, ผู้แทนการค้าของไทย นางนลินี รวมถึงที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี นายสุรพล เป็นต้น
การประชุมในครั้งนี้จะมีหัวข้อหลักคือ “ความร่วมมือในยุคอัจฉริยะ” ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อพิจารณาว่าจะใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าอย่างไรในการส่งเสริมการลงทุนและการค้าในช่วงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์การเมืองที่ซับซ้อนและท้าทายเช่นนี้ นายประยุทธ์ จะใช้เวทีระดับโลกนี้ในการแสดงภาพรวมของนโยบายการพัฒนาด้านดิจิทัลของประเทศไทย พร้อมทั้งเน้นย้ำถึงศักยภาพและความพร้อมของไทยในการเข้าสู่ยุคดิจิทัล ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความมั่นใจจากสังคมอินเตอร์เนชันแนล และดึงดูดการลงทุนเพื่อขยายโอกาสทางธุรกิจของเอกชนไทยในตลาดโลก โดยเฉพาะจากพันธมิตรในภูมิภาคยุโรป
ในระหว่างการเดินทางครั้งนี้ นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จะเข้าร่วมพิธีลงนามข้อตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement: FTA) ระหว่างประเทศไทยกับสหภาพการค้าเสรียุโรป (European Free Trade Association: EFTA) ในวันที่ 23 มกราคม ข้อตกลงนี้ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์, ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าครั้งแรกที่มีมาตรฐานสูงและครอบคลุมการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ประเทศไทยได้ลงนามร่วมกับประเทศในยุโรป ในปัจจุบันไทยมีข้อตกลงการค้าเสรีกับ 23 ประเทศและเศรษฐกิจต่างๆ จำนวน 16 ฉบับ
สถิติแสดงให้เห็นว่า ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2567 การค้ารวมระหว่างไทยกับสมาชิก EFTA มีมูลค่าสูงถึง 11,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 24.94% สินค้าออกหลักที่ไทยส่งออกไปยัง EFTA ประกอบด้วยเครื่องประดับและอัญมณี, นาฬิกาและอะไหล่, เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก, ผลิตภัณฑ์ทะเลบรรจุกระป๋องและแปรรูป, รวมไปถึงสินค้าเดินทางต่างๆ
นายจิรา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีครั้งนี้ จะเปิดโอกาสใหม่ให้ไทยสามารถขยายการค้าในระดับสากล ดึงดูดนักลงทุน และยกระดับความสามารถในการแข่งขันของสินค้าไทยในตลาดโลกโดยเฉพาะตลาดยุโรปที่มีมาตรฐานสูง ข้อตกลงการค้าเสรีนี้ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์และนโยบายที่สำคัญของรัฐบาลไทย เพื่อสร้างประโยชน์มหาศาลให้กับผู้ประกอบการและอุตสาหกรรมส่งออก รวมไปถึงการสนับสนุนให้ไทยเป็นฐานการผลิตหลักในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก
(แหล่งที่มา: posttoday, matichon)