16 มกราคม 2568 เวลา 19:09 น. 291
สำนักข่าวไทยรายงานเมื่อวันที่ 16 มกราคมว่า แม้รัฐบาลไทยจะส่งเสริมการมีบุตรเป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของประเทศในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ในปี 2024 จำนวนประชากรในไทยยังคงอยู่ที่สถานะคงที่ โดยมีจำนวนทารกเกิดใหม่ไม่ถึง 500,000 คน ขณะเดียวกันระดับการสูงวัยเพิ่มขึ้นถึง 20% ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันชัดเจนจากการที่ไทยกำลังเผชิญปัญหาสังคมผู้สูงอายุอย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์เจตน์ พงษ์พิทักษ์ ผู้อำนวยการสถาบันประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้วิเคราะห์จากข้อมูลของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ในปี 2024 ว่าประชากรทั้งหมดของไทยอยู่ที่ 65,951,210 คน โดยมีจำนวนทารกเกิดใหม่อยู่ที่ 462,240 คน และมีผู้เสียชีวิต 571,646 คน ส่งผลให้ประเทศไทยมีอัตราการเติบโตทางธรรมชาติอยู่ที่ -0.17% เป็นปีที่สี่ติดต่อกันที่เกิดการลดลง โดยอัตราการเกิดรวม (TFR) อยู่ที่เพียง 1.0 ซึ่งต่ำกว่าค่าที่จำเป็นสำหรับการทดแทนประชากรที่ 2.1 อย่างมีนัยสำคัญ และใกล้เคียงกับประเทศอื่น ๆ ที่มีอัตราการเกิดต่ำกว่า เช่น เกาหลีใต้ สิงคโปร์ และจีน
จากการวิเคราะห์ของศาสตราจารย์เจตน์พบว่า ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์” โดยประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปมีสัดส่วนเกิน 20% ของประชากรทั้งหมด ขณะที่อัตราการเกิดรวมต่ำกว่า 1.5 กรณีศึกษาจากหลายประเทศชี้ว่า การกระตุ้นการเกิดจะยิ่งยากขึ้น และอัตราการเกิดของเจนเนอชันถัดไปอาจลดลงอีกด้วย
เพื่อแก้ไขปัญหาการลดลงของอัตราการเกิด ศาสตราจารย์เจตน์ได้เสนอแผนการรับมือที่สำคัญไว้ 3 ข้อ ดังนี้:
- สนับสนุนการเข้าร่วมของผู้สูงอายุและผู้หญิงในสังคม
มีความจำเป็นที่จะต้องเพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมของผู้สูงอายุและผู้หญิงในสังคม พัฒนาสัดส่วนการมีส่วนร่วมในแรงงาน โดยปรับปรุงสภาพการทำงานและสภาพแวดล้อมให้กลายเป็นพลังในการพัฒนาสังคม แทนที่จะพึ่งพิงเพียงอย่างเดียว
- เพิ่มการลงทุนในเด็ก
ควรเพิ่มการลงทุนในด้านการศึกษา สุขภาพ และสวัสดิการเพื่อบรรเทาภาระในการเลี้ยงดูบุตรของพ่อแม่ และช่วยบุตรให้มีเวลาและเงื่อนไขที่ดีกว่าในการเจริญเติบโต ซึ่งจะช่วยเพิ่มคุณภาพการเกิดและเน้นบทบาทของพ่อแม่ในสังคม
- นโยบายการอพยพ
ควรนำแรงงานต่างชาติ โดยเฉพาะแรงงานที่มีทักษะสูงเข้ามาเพื่อลดการขาดแคลนแรงงานในประเทศ และยังควรให้ความสำคัญกับเด็กต่างชาติที่เกิดและเติบโตในไทย โดยดูเป็นนโยบายที่มีโอกาสและทางเลือกที่น่าสนใจในอนาคต
ศาสตราจารย์เจตน์เชื่อว่าการดำเนินการหลายแนวทางนี้จะสามารถตอบโจทย์ปัญหาของประชากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย
(ที่มา: Thairath)