เมื่อวานนี้! ร่างกฎหมายโรงพนันในไทยได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ

14 มกราคม 2568 เวลา 10:22 น.    1175

เมื่อวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ประกาศหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีว่า ทางคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการของร่างพระราชบัญญัติการจัดตั้งแหล่งบันเทิงครบวงจร ที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ร่างขึ้น โดยมีแผนที่จะเสนอให้มีการปรับแก้ไขร่างกฎหมายดังกล่าวต่อสภาผู้แทนราษฎรโดยเร็วในช่วง 2-3 เดือนข้างหน้า สถานการณ์นี้ถือเป็นการเปิดตัวบทใหม่ในวงการการพนันของประเทศไทยอย่างแน่นอน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา การพนันใต้ดินในประเทศไทยมีปัญหาหนัก แนวโน้มการเกิดอาชญากรรมที่เกี่ยวข้องกับการพนันมักเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแนวทางในการทำให้การพนันถูกกฎหมายถูกมองว่าเป็นทางแก้ไขที่มีประสิทธิภาพในการจัดการกับการพนันที่ผิดกฎหมาย เช่นเดียวกับการช่วยเพิ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรมนี้ รวมถึงการสร้างรายได้ให้กับรัฐบาล อย่างไรก็ตาม นโยบายนี้ก็สร้างการถกเถียงในสังคม โดยฝ่ายที่สนับสนุนเชื่อว่า การทำให้การพนันถูกกฎหมายสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้ ในขณะที่มีชาวบ้านและพรรคการเมืองกลุ่มหนึ่งเช่น พรรคประชาธิปัตย์คัดค้านอย่างรุนแรง โดยมีความกังวลว่า การพนันจะทำให้เกิดปัญหาการติดการพนัน การแตกแยกในครอบครัว และผลกระทบด้านสุขภาพของเยาวชน

เกี่ยวกับสัดส่วนของคาสิโนในแหล่งบันเทิงครบวงจร นายกรัฐมนตรีได้ยืนยันว่า คาสิโนจะมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 80-90% จะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ข้อกำหนดนี้ไม่น่าสร้างกำไรในเชิงเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวด้วย เธอยังย้ำว่า การสร้างแหล่งบันเทิงครบวงจรนั้นไม่ได้เพียงเพื่อจัดการกับปัญหาการพนันผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืนและดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ

แผนการของรัฐบาลไทยในการสร้างแหล่งบันเทิงครบวงจรมีเป้าหมายที่จะสร้างจุดหมายการท่องเที่ยวสำหรับครอบครัวในระดับโลก โดยมุ่งเน้นการมอบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หลากหลายแก่กลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีความสามารถในการใช้จ่ายสูง โครงการนี้ไม่เพียงแต่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้เศรษฐกิจชาติ โดยคาดการณ์ว่า จะมีผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นและการใช้จ่ายต่อหัวสูงขึ้น

แหล่งบันเทิงครบวงจรจะถูกออกแบบให้เป็นศูนย์กลางที่ผสมผสานความบันเทิงและการพักผ่อนหย่อนใจ โดยมีบริการหลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เยี่ยมชมเช่น ศูนย์การค้า สถานประชุม โรงแรมห้าดาว พื้นที่จัดแสดงศิลปวัฒนธรรมไทย สินค้า OTOP สวนน้ำ สวนสนุก สถานที่กีฬา สโมสรเรือยอชท์ ร้านอาหาร คาสิโน คลับ และผับต่างๆ

ตามการคาดการณ์ การลงทุนเบื้องต้นในโครงการนี้จะต้องไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท โดยคาดว่า จะสร้างรายได้ให้กับไทยประมาณ 119,000 ล้านถึง 238,000 ล้านบาท นอกจากนี้ คาดว่า จะมีการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติในอัตรา 5-10% ต่อปี และการใช้จ่ายในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวต่ำจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นถึง 13% ซึ่งจะช่วยกระจายความตื่นตัวในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี

นอกจากนี้ แหล่งบันเทิงครบวงจรยังจะสร้างโอกาสในการจ้างงานอย่างมีนัยสำคัญ คาดว่าจะแห่งการสร้างงานโดยตรงประมาณ 9,000 ถึง 15,300 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นประมาณ 0.03% ถึง 0.05% ของอัตราการจ้างงานในประเทศ ในขณะเดียวกัน อาชีพที่เกี่ยวข้องในด้านการออกแบบ ขนส่ง และบริการผู้โดยสารก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นตามมาเมื่อมีการพัฒนานี้

การก่อสร้างแหล่งบันเทิงครบวงจรคาดว่าจะสร้างรายได้ประมาณ 120.37 ล้านถึง 394.27 ล้านบาทต่อปีให้กับรัฐบาล นอกจากรายได้จากคาสิโนแล้ว อุตสาหกรรมโรงแรมห้าดาวและสวนสนุกจะสร้างรายได้จากภาษีประมาณ 87.73 ล้านถึง 350.93 ล้านบาทต่อปี โดยคาดว่ารายได้จากคาสิโนเช่น ภาษีการพนันและค่าบริการเข้าใช้จะทำให้รัฐบาลมีรายได้ที่ไม่น้อยกว่า 7,000 ล้านบาทต่อปี

สำหรับความคืบหน้าของแหล่งบันเทิงครบวงจร ความสนใจจากทุกฝ่ายในประเทศและต่างประเทศยังคงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะหลังจากการประกาศนโยบายนี้ มีการลงทุนจากแหล่งทุนในประเทศและต่างประเทศที่แสดงความสนใจเป็นอย่างมาก บริษัทในประเทศอย่าง Impact Exhibition Management และกลุ่ม Siam Park City ซึ่งเป็นเบื้องหลังของสวนสนุกต่างเผยแพร่ความตั้งใจในการเข้าร่วมโครงการนี้ ขณะที่กลุ่มทุนต่างประเทศอย่าง Sands Group, MGM Resorts, Wynn Resorts, Caesars Entertainment, และ Hard Rock Café ก็ได้แสดงถึงความสนใจที่จะมีส่วนร่วมในโครงการนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง MGM China Holdings Limited ได้แสดงความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนในตลาดคาสิโนของไทยในเดือนมิถุนายน 2024 ที่จะถึงนี้

อย่างไรก็ตาม ประเด็นทางเศรษฐกิจไม่ได้เป็นสิ่งเดียวที่ถูกสนใจ ในเรื่องของการเลือกตั้งสถานที่สำหรับคาสิโนก็เป็นประเด็นที่ถูกถกเถียงกันอย่างกว้างขวาง โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคนเชื่อว่า พื้นที่เช่น จังหวัดระยอง ชลบุรี และนครราชสีมา ในเขตเศรษฐกิจระดับภาคตะวันออกน่าจะเป็นสถานที่แรกที่ถูกคัดเลือกสำหรับคาสิโน นอกจากนี้ เส้นทางท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงอย่างภูเก็ต กระบี่ เชียงใหม่ และพัทยาก็น่าจะเป็นหนึ่งในสถานที่หลักที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ถึงแม้ว่าโครงการแหล่งบันเทิงครบวงจรของไทยจะถูกคาดหวังให้ก่อให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ค่าใช้จ่ายทางสังคมของอุตสาหกรรมการพนันนั้นไม่อาจมองข้ามได้ การสร้างสมดุลระหว่างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและความรับผิดชอบทางสังคมจะเป็นกุญแจสำคัญในการกำหนดความสำเร็จของนโยบายนี้

ในขณะนี้ ร่างกฎหมายการดำเนินการแหล่งบันเทิงครบวงจรที่ทางรัฐบาลไทยร่างขึ้นยังมีช่องโหว่ที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งอาจนำไปสู่อาหารปัญหาในอนาคตได้ หนึ่งในความเสี่ยงที่สำคัญคืออำนาจการอนุมัติโครงการที่เข้มข้นอยู่ในมือของคณะกรรมการนโยบาย โดยในร่างกฎหมายนี้ การออกใบอนุญาต การกำหนดเขตโครงการ และการบริหารจัดการต่างๆ จะอยู่ภายใต้การดูแลของคณะกรรมการซึ่งยังขาดกรอบนโยบายที่ชัดเจนและไม่มีการกำกับดูแลจากประชาชน อำนาจที่กระจุกตัวนี้อาจทำให้คณะกรรมการตัดสินใจในจำนวนคาสิโนและตำแหน่งที่ตั้งได้อย่างไม่มีความโปร่งใส ซึ่งอาจถือเป็นช่องทางสำหรับการทุจริตและสามารถสร้างผลประโยชน์ โดยขาดการตรวจสอบที่มีประสิทธิภาพจากรัฐสภาหรือประชาชน

นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับการพัฒนาแหล่งบันเทิงครบวงจรในประเทศไทยอีกประการหนึ่ง คือความเสี่ยงในการผูกขาดในระยะยาว เนื่องจากระยะเวลาการออกใบอนุญาตดำเนินการมีอายุถึง 30 ปีและสามารถต่ออายุได้ ทำให้บริษัทขนาดใหญ่สามารถเข้าถึงการควบคุมตลาดในระยะเวลานาน โดยไม่มีการแข่งขันที่เป็นธรรมซึ่งจะสร้างแหล่งจ้างงานและชุมชนที่เข้มแข็ง

โดยรวมแล้ว การผลักดันนโยบายนี้จะนำมาซึ่งโอกาสใหม่ในอุตสาหกรรมการพนันและการท่องเที่ยวของไทย ไม่ว่าจะเป็นการขยายรายได้ให้กับรัฐบาลหรือการเพิ่มโอกาสในการจ้างงาน เพื่อสะท้อนถึงการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้