07 มกราคม 2568 เวลา 07:06 น. 191
หน่วยงานการบินพลเรือนของไทย (CAAT) ได้ประกาศการริเริ่มแผนแม่บทเพื่อพัฒนาวงการการบิน โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจนในการบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero) ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ที่มีความตั้งใจในการลดการปล่อยคาร์บอนจากเที่ยวบินระหว่างประเทศอย่างเป็นระบบ จนถึงปี 2050 เรียกได้ว่าเป็นจุดมุ่งหมายสำคัญที่มีความหมายไม่เพียงแต่ต่อประเทศไทย แต่ยังต่อความยั่งยืนของโลกอีกด้วย。
นายสุธีพงษ์ ผู้บริหารของ CAAT ได้เปิดเผยว่า ขณะนี้หน่วยงานกำลังวางแผนการดำเนินการที่เป็นรูปธรรมเพื่อผลักดันให้ภาคการบินสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยมีสี่แนวทางหลักที่ถูกกำหนด ได้แก่:
1. การพัฒนาเทคโนโลยีการบิน: หันมาใช้พลังงานสะอาดและเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องยนต์เพื่อปรับปรุงการใช้น้ำมัน.
2. การจัดการอาณาเขตการบินอย่างมีประสิทธิภาพ: เพิ่มความยืดหยุ่นในการบินเพื่อลดการใช้พลังงาน.
3. การสนับสนุนสายการบินให้นำเชื้อเพลิงการบินที่ยั่งยืน (SAF) มาใช้งาน: ซึ่งในด้านนี้จำเป็นต้องมีนโยบายที่ชัดเจนจากรัฐบาลเพื่อสนับสนุนผู้ผลิตเชื้อเพลิง.
4. กลไกทางการตลาด: ใช้มาตรการจากตลาดในการชดเชยค่าใช้จ่ายให้กับบริษัทต่างๆ.
ในขณะนี้ CAAT กำลังอยู่ในขั้นตอนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อให้การบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเป็นศูนย์สามารถเกิดขึ้นได้ โดยคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 ซึ่งแผนการคือการให้สายการบินมีการใช้เชื้อเพลิง SAF ในสัดส่วนที่ 1% ของการใช้น้ำมันทั้งหมดในปีนั้น และจะมีการเพิ่มสัดส่วนในปีถัดไปจนถึงปี 2027 ที่ 2% และยกระดับต่อไปเป็น 3-5% ในปีถัดๆ มา。
การบรรลุเป้าหมายนี้จำเป็นต้องมีความร่วมมือกับกระทรวงพลังงาน ซึ่งจะมีบทบาทในการร่างแผนงานการพัฒนาพลังงานสะอาดและการผลิตเชื้อเพลิง SAF ทั้งนี้ สัดส่วนการผลิตเชื้อเพลิง SAF ถือเป็นปัจจัยหลักที่มีผลต่อต้นทุนการดำเนินงานด้านการบิน ดังนั้นการ推进แผนนี้จึงต้องคำนึงถึงความพร้อมของผู้ผลิตและศักยภาพในห่วงโซ่อุปทานเชื้อเพลิง SAF ด้วย。
ที่น่าสนใจคือ การใช้เชื้อเพลิง SAF เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการบิน โดยข้อมูลจากสถิติระบุว่าภาคการบินทั่วโลกมีการปล่อยคาร์บอนเป็นสัดส่วนอยู่ระหว่าง 2% ถึง 2.5% ของการปล่อยก๊าซทั้งโลก ซึ่งสัดส่วนนี้มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจำนวนเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปี。
CAAT เชื่อว่าการผลิตเชื้อเพลิง SAF จากวัตถุดิบในประเทศ เช่น น้ำมันพืชที่ใช้แล้วและขยะชีวมวล เป็นแนวทางที่สามารถทำได้จริง เนื่องจากเชื้อเพลิงชนิดนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่ต่ำกว่าการใช้เชื้อเพลิงจากน้ำมันปิโตรเลียม ซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญในการเปลี่ยนแปลงภาคการบินของไทยให้มีความยั่งยืนและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น。
ดังนั้น หากรัฐบาลสามารถกำหนดทิศทางการผลิตพลังงานสะอาดที่ชัดเจน มีกฎระเบียบที่จะต้องปฏิบัติตามจากผู้ประกอบการ และสนับสนุนการใช้เชื้อเพลิงประเภทนี้ จะเป็นการส่งเสริมให้ไทยสามารถบรรลุเป้าหมายด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม พร้อมกับการพัฒนาอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังสามารถเปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ เช่น การก่อตั้งบริษัทที่ผลิตเชื้อเพลิง SAF ใหม่ๆ。
ในปัจจุบัน การใช้เชื้อเพลิง SAF โดยสายการบินในอัตราส่วนที่กำหนดนั้นเป็นเรื่องที่สามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา หากรัฐบาลมีแนวทางในการชดเชยค่าใช้จ่ายเพื่อไม่ให้บริษัทต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น ในกรณีที่มีการปรับข้อบังคับอาจส่งผลให้ค่าโดยสารแพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสาร และลดความนิยมในการใช้บริการการบิน。
นายพุทธพงษ์ ประธานบริษัทการบินกรุงเทพ และประธานสมาคมการบินไทย ได้กล่าวว่า การนำเชื้อเพลิง SAF มาใช้เพื่อลดการปล่อยคาร์บอนในภาคการบิน เป็นแนวทางที่สายการบินจะต้องเตรียมตัวและปรับตัวเพื่อให้เกิดความยั่งยืนต่อไป โดยสมาคมการบินไทยพร้อมให้การสนับสนุนการริเริ่มนี้เพื่อสร้างสภาวะทางการค้าอย่างยั่งยืน.
สำหรับนโยบายที่รัฐบาลตั้งใจจะนำมาใช้ในปี 2026 เพื่อให้สายการบินใช้เชื้อเพลิง SAF ในอัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นถึง 1% นั้น มีข้อเท็จจริงที่ต้องพิจารณาว่า ราคาของเชื้อเพลิง SAF นั้นสูงกว่าราคาน้ำมันปกติถึง 3 เท่า การใช้งานในอัตราส่วนที่ต่ำที่เริ่มต้นจึงถือว่าเป็นทางเลือกที่ดี เพื่อให้ธุรกิจสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่รัฐบาลต้องทำคือช่วยแบ่งเบาต้นทุนและมั่นใจว่ามีความพร้อมในการผลิตเชื้อเพลิง SAF ให้เพียงพอต่อความต้องการในตลาดต่อไป.